เมนู

เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และ
วรรณะของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

จบติลทักขิณวิมาน

อรรถกถาติลทักขิณวิมาน


ติลทักขิณวิมาน มีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน เป็นต้น. ติล-
ทักขิณวิมานนั้น เกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ-
บิณฑิกะ กรุงสาวัตถี. สมัยนั้น ในกรุงราชคฤห์ หญิงผู้หนึ่งมีครรภ์ อยาก
จะดื่มน้ำมันงา จึงล้างเมล็ดงาแล้วให้ตากแดดไว้ แต่หญิงผู้นั้น หมดอายุ
แล้ว ธรรมดาจะต้องจุติในวันนั้น เพราะกรรมของนาง ที่จะให้ไปนรก
คอยโอกาสอยู่แล้ว. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรวจดูโลกเวลา
ใกล้รุ่ง ทรงเห็นนางด้วยทิพยจักษุ ทรงพระดำริว่า วันนี้ หญิงผู้นี้จักตาย
ไปบังเกิดในนรก ถ้ากระไร เราพึงท่านางให้ไปสวรรค์ด้วยการรับอาหาร
คืองา. พระองค์ก็เสด็จจากกรุงสาวัตถี ถึงกรุงราชคฤห์ ขณะนั้นนั่นเอง
เวลาเช้าทรงนุ่งแล้ว ก็ทรงถือบาตรและจีวรเที่ยวบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์
เสด็จถึงประตูเรือนของนางโดยลำดับ. หญิงผู้นั้น เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า
เกิดปีติโสมนัส รีบลุกขึ้นประคองอัญชลีประนม ไม่เห็นสิ่งอื่นที่ควรถวาย
ล้างมือเท้าแล้ว ตะล่อมงาเป็นกอง กอบด้วยมือทั้ง 2 เกลี่ยงาเต็มอัญชลี
ลงในบาตรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วถวายบังคม. พระผู้มีพระภาคเจ้า
เมื่อจะทรงอนุเคราะห์นางจึงตรัสว่า จงเป็นสุขเถิด แล้วเสด็จกลับไป.

เวลาใกล้รุ่งของคืนนั้น นางก็ตายไปบังเกิดในวิมานทอง สิบสองโยชน์
ภพดาวดึงส์เหมือนหลับแล้วตื่นขึ้น. ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลาน-
เถระเที่ยวเทวจาริกเข้าไปหาโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลัง ถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านมีวรรณะงาม ส่องแสง
สว่างไปทุกทิศ ประหนึ่งดาวประกายพรึก เพราะ
บุญอะไร วรรณะของท่านจึงเป็นเช่นนี้ เพราะบุญ
อะไร ผลนี้จึงสำเร็จแก่ท่าน และโภคะทุกอย่างที่
น่ารักจึงเกิดแก่ท่าน.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก อาตมาขอถามท่าน
เพราะบุญอะไร ท่านจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้
และวรรณะของท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้นดีใจ ถูกท่านพระโมคคัลลานะถาม
แล้ว ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้.
จึง
กล่าวตอบว่า
ครั้งเกิดเป็นมนุษย์ในหมู่มนุษย์ ในชาติก่อน
ในมนุษยโลก ดีฉันได้เห็นพระพุทธเจ้า ผู้ปราศจาก
กิเลสดุจธุลีผ่องใสไม่มัวหมอง เลื่อมรสแล้ว ไม่ต้อง
การงาอีกละ จึงรวบรวมทักษิณาไทยธรรม คืองา
ถวายเห็นทาน แด่พระพุทธเจ้าผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
ด้วยมือตนเอง.

เพราะบุญนั้น วรรณะของดีฉันจึงเป็นเช่นนั้น
เพราะบุญนั้น ผลนี้จึงสำเร็จแก่ดิฉัน และโภคะ

ทุกอย่างที่น่ารักจึงเกิดแก่ดีฉัน.
ข้าแต่ท่านภิกษุผู้มีอานุภาพมาก ดีฉันขอบอก
แก่ท่าน ดีฉันครั้งเกิดเป็นมนุษย์ได้ทำบุญใด เพราะ
บุญนั้น ดีฉันจึงมีอานุภาพรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะ
ของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

อาสัชช ศัพท์นี้ว่า อาสชฺช ในคาถากล่าวตอบนั้นมาในอรรถว่า
กระทบ, เสียดสี ได้ในบาลีเป็นต้นว่า อาสชฺช นํ ตถาคตํ เสียดสี
พระตถาคตนั้น. มาในอรรถว่าประชุม. รวบรวม ได้ในบาลีเป็นต้นว่า
อาสชฺช ทานํ เทติ รวบรวมถวายทาน. แม้ในที่นี้ พึงเห็นว่ามาใน
อรรถว่ารวบรวมเท่านั้น. เพราะฉะนั้น จึงมีความว่า รวบรวมแล้ว มาถึง
แล้วโดยความพร้อมเพรียง. ด้วยเหตุนั้น เทวดาจึงกล่าวว่า อกามา.
จริงอยู่ เทวดาองค์นั้นไม่ได้คิดจะถวายทานมาก่อน ก่อนที่จะจัดหาไทย-
ธรรมหมายเอาติลทาน ไทยธรรมคืองาที่เป็นไปอย่างฉุกละหุก ในพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งเสด็จมาถึงอย่างกะทันหัน จึงกล่าวว่า อาสชฺช ทานํ
อทาสึ อกามา ติลทกฺขิณํ
ไม่ต้องการงาอีกละ จึงรวบรวมทักขิณา
[คือไทยธรรม] ถวายเป็นทาน. คำที่เหลือ มีนัยที่กล่าวมาแล้วทั้งนั้น.
จบอรรถกถาติลทักขิณวิมาน

11. ปฐมปติพพตาวิมาน


ว่าด้วยปติพพตาวิมาน 1


[11] พระโมคคัลลานะถามว่า
ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก นกกระเรียน นก
ยูงทอง หงส์ นกดุเหว่า ซึ่งล้วนเป็นทิพย์ ส่งเสียง
อย่างไพเราะ ชุมนุมกันอยู่ วิมานนี้ดาดาษด้วยดอกไม้
สด งดงามมาก เทพบุตรและเทพธิดามาคบหากับท่าน
นั่งอยู่ในวิมานนั้น เหล่าเทพผู้มีฤทธิ์ สำแดงฤทธิ์
มีรูปแปลก ๆ กันเป็นอันมาก อัปสรเหล่านี้ฟ้อนรำ
ขับร้องอยู่รอบข้าง ให้ท่านบันเทิงอยู่.

ดูก่อนเทพีผู้มีอานุภาพมาก ท่านก็ได้เทพฤทธิ์
ครั้งเป็นมนุษย์ท่านได้ทำบุญอะไรไว้ เพราะบุญอะไร
ท่านจึงมีอานุภาพมากรุ่งเรืองอย่างนี้ และวรรณะของ
ท่านจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทวดานั้น ถูกพระโมคัลลานะซักถามแล้ว
ดีใจ ก็ได้พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า
ครั้งเป็นมนุษย์อยู่ในหมู่มนุษย์ ดีฉันได้เป็นผู้
ปฏิบัติซื่อตรงต่อสามี ไม่ประพฤตินอกใจ ถนอมใจ
สามี เหมือนกันมารดาถนอมบุตร แม้ดีฉันจะโกรธ
ไม่กล่าวคำหยาบ ละการพูดเท็จ ดำรงมั่นอยู่ใน
ความสัตย์ยินดีในการให้ทาน ชอบอุทิศตนสงเคราะห์